บทที่2
เอกสารละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 เอกสาร
รูปที่ 2.1 ชอล์กไล่มด
2.1.1 ชอล์กไล่มด
ชอล์กไล่มดตามท้องตลาด เป็นยามฆ่าแมลง(Insecticide) ที่นิยมใช้กันมากในครัวเรือน ออกฤทธิ์กำจัด มด แมลงสาบ และปลวก โดยใช้ขัดตามมุมห้อง รอบขาตู้อาหาร และรอบถังขยะ เป็นต้น สาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ฆ่าแมลง คือ deltamethrinยาฆ่าแมลงชนิดนี้นอกจากจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในชอล์กขีดกำจัดแมลงคลานแล้วยังพบว่าในบางประเทศได้นำมาพัฒนาใช้เป็นยาสำหรับฆ่าแมลงชนิดอ่อน เช่น Anopheles albimanusและ Leishmaniainfantumเป็นต้นdeltamethin จัดเป็นยาฆ่าแมลงในกลุ่ม pyrethroidsที่จะถูกสังเคราะห์ขึ้นด้วยปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเป็นพิษต่อเนื้อเยื้อประสาท (eurotoxic) และเป็นพิษต่อภูมิคุ้มกัน(immunotoxic) ในที่นี้จะกล่าวถึงรายละเอียดของวิธีใช้ วิธีเก็บรักษา ข้อควรระวัง และวิธีแก้พิษเบื้องต้นของ deltamethin ในชอล์กขีดกำจัดแมลงคลาน ข้อมูลทางเคมี ความเป็นพิษ การเก็บรักษา การปฐมพยาบาล และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของdeltamethinรวมทั้งงานวิจัยเกี่ยวกับการนำdeltamethinไปใช้ประโยชน์ในแง่อื่นๆ
2.1.1.1กระบวนการทำชอล์กไล่มดตามท้องตลาด ไม่มีการระบุกระบวนการทำจากบริษัทผลิตชอล์ก
รูปที่ 2.2 เปลือกไข่ไก่
2.1.2 เปลือกไข่ไก่
เปลือกไข่ คือ มีสีน้ำตาลหรือสีขาว ขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์แม่ไก่ สีไข่ไม่มีผลต่อคุณค่าทางโภชนาการของไข่ ส่วนประกอบสำคัญของเปลือกไข่คือ แคลเซียมเป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นแท่งๆมาต่อกันในการสร้างเปลือกไข่แต่ละฟองนั้นจะใช้แคลเซียมประมาณ 2 กรัม มีคอลลาเจนสานเป็นตัวตาข่าย และมีหินปูน(แคลเซียมคาร์บอเนต)ทำให้เปลือกไข่แข็ง มีสารเคลือบที่สามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรียไม่ให้เข้าไปในตัวไข่ได้ ความแข็งแรงของเปลือกไข่ขึ้นอยู่กับอายุและการกินอาหารของแม่ไก่ เปลือกไข่จะมีรูขนาดเล็กมาก มองเห็นด้วยตาเปล่าไม่เห็น เมื่อไข่ออกจากแม่ไก่มาใหม่จะมีเมือกเคลือบที่ผิวของเปลือกไข่ เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศและน้ำผ่านเข้าไปได้ เมื่อเก็บไว้นานๆเมือกเหล่านั้นจะแห้งไป อากาศและความชื่นสามารถแทรกผ่านรูเล็กของเปลือกไข่ได้ทำให้ไข่เสื่อมคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงของไข่ขาว และการเปลี่ยนของกลิ่นรสตลอดเวลา เนื่องจากการสูญเสียอากาศ เปลือกไข่มีการป้องกันการเน่าเสียจากจุลินทรีย์ เมื่อไม่มีเปลือกไข่จะเกิดการเสื่อมอย่างรวดเร็ว จึงมักเก็บไข่ทั้งเปลือก การเก็บไว้ในที่มีอากาศเหม็น ไข่ก็อาจดูดกลิ่นสิ่งที่เหม็นอยู่รอบๆเข้าไปสู่รูของเปลือก
2.1.2.1 กระบวนการทำเปลือกไข่
เปลือกไข่ได้มาจากไก่ที่ออกไข่อยู่เป็นประจำทุกวัน
รูปที่ 2.3 ปูนปลาสเตอร์
2.1.3 ปูนปลาสเตอร์
ปูนปลาสเตอร์คือ ทำมาจากแร่ยิปซัม ซึ่งมีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมซัลเฟตไดไฮเดรตในโครงสร้าง
ผลึกจะมี 2 หน่วยต่อแคลเซียมซัลเฟต1 หน่วย เมื่อนำยิปซัมมาเผาแคลไซน์น้ำบางส่วนจะระเหยออกไป
กลายเป็นปูนปลาสเตอร์ซึ่งมีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมเฮมิไฮเดรตในโครงผลึกจะมีน้ำเพียง 1 หน่วย
ต่อแคลเซียมซัลเฟต2 หน่วย เป็นปฏิกิริยากับผันกลับได้เมื่อเราเติมน้ำให้กลับปูนปลาสเตอร์
ปูนปลาสเตอร์ ปูนปลาสเตอร์จะทำปฏิกิริยากับน้ำเกิดเป็นผลึกรูปเข็มของยิปซัมและกลายเป็นก้อนแข็งอีก
ครั้ง
2.1.3.1 กระบวนการทำปูนปลาสเตอร์
ไม่มีการระบุกระบวนการทำจากบริษัทผลิตปูนปลาสเตอร์
รูปที่2.4 ดินสอพอง
2.1.4 ดินสอพอง ดินสอพอง คือ หินปูนเนื้อมาร์คที่เป็นดินที่เนื้อ
เป็นสารประกอบ
แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเอามะนาวบีบใส่
น้ำมะนาวมีกรดซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับแคลเซียมเป็นฟองฟูขึ้นดูเผินๆ
ก็เห็นว่าดินนั้นพองตัวขึ้นจึงเรียกดินสอพอง ใช้ในการทำธูป
ทำปูนซีเมนต์
2.1.4.1 กระบวนการทำปูนปลาสเตอร์
ไม่มีการระบุกระบวนการทำจากบริษัทผลิตดินสอพอง
2.2 งานวิจัย
2.2.1 งานวิจัยเกี่ยวกับเปลือกไข่
KuhและKim ได้ศึกษาการดูดซับโลหะหนักแคดเมี่ยมด้วย
เปลือกไข่โดยศึกษาผลของความเข้มข้น
เริ่มต้นของสารละลาย (25-100 มิลลิกรัมต่อลิตร) ค่า pH
ของสารละลายเริ่มต้น (3-11) อุณหภูมิ (25-55 องศา
เซลเซียส) ขนาดอนุภาค (14-30, 35-60, 80-100 และ120-140 เมช)
และปริมาณของเปลือกไข่ (10-70กรัมต่อลิตร)
พบว่าการดูดซับแคดเมี่ยมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง30 นาทีแรกและ
เข้าสู่สภาวะสมดุลย์หลังจาก
เวลาผ่านไป 300 นาทีโดยผลจากการเพิ่มปริมาณเปลือกไข่ในสารละลาย
และการลดขนาดของเปลือกไข่
ทำให้พื้นที่ผิวของการดูดซับเพิ่มขึ้นประสิทธิภาพการดูดซับจึงสูงขึ้นตาม
ไปด้วยและที่ความเข้มข้นเริ่มต้น
ของสารละลายแคดเมี่ยมตํ่า(25 มิลลิกรัมต่อลิตร) เปลือกไข่มีประสิทธิภาพ
ในการลดแคดเมี่ยม (ร้อยละ 97)
ได้ดีกว่าที่ความเข้มข้นเริ่มต้นสูงขึ้นเนื่องจากสัดส่วนของ active sites
บนผิวเปลือกไข่ต่อปริมาณตัวถูกดูดซับ
ที่ความเข้มข้นเริ่มต้นตํ่ามีค่ามากกว่าที่ความเข้มข้นเริ่มต้นสูงและการดูดซับ
แคดเมี่ยมจะสูงขึ้นตาม
อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นซึ่งแสดงว่าการดูดซับเป็นปฏิกริยาดูดความร้อน
สามารถอธิบายการดูดซับ
ด้วยสมการของFruendlichสำหรับการศึกษาจลนพลศาสตร์พบว่า
การดูดซับเป็นปฏิกิริยา
อันดับที่1.1-1.6 จากความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงค่าความเข้มข้น
ของแคดเมี่ยมในสารละลาย(logCt)
กับอัตราการดูดซับ (log rate) นอกจากนี้สารละลายที่มีค่า pH
สูงบนผิวเปลือกไข่จะมีปริมาณโปรตอนลดลง
กลุ่มออกไซด์, ไฮดรอกไซด์และออกซี่ไฮดรอกไซด์บนผิวเปลือกไข่จึงจับตัว
กับโลหะหนักได้มากขึ้น
เกิดเป็น metal carbonate ที่ไม่ละลายนํ้าในรูป CdCO3 ,
Cd(CO3 )2(OH)2
ดร.นาวิน วิริยะเอี่ยมพิกุล นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
(นาโนเทค) สำนักงาน
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า จากความสนใจ
ส่วนตัวในเรื่องการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยา
ทำให้ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทุ่มเทกับการศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยา
เพื่อการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย ทั้งตัวเร่งปฏิกิริยา
สำหรับผลิตไบโอดีเซล ตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงแสงสำหรับบำบัดสารพิษในน้ำ
รวมถึงกระบวนการผลิตที่ใช้ในการ
สังเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยา หนึ่งในวัสดุที่สนใจศึกษาเพื่อพัฒนา
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาคือ เปลือกไข่
ซึ่งมีความเป็นด่างสอดคล้องกับคุณสมบัติเบื้องต้นของตัวเร่งปฏิกิริยา
และที่ผ่านมาอุตสาหกรรม
โรงฟักไก่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดเปลือกไข่เหลือใช้ด้วยการฝังกลบ
ตันละกว่า 800 บาท
ทั้งที่ตัวเปลือกไข่เป็นแคลเซียมน่าจะนำมาประยุกต์ใช้อย่างอื่นได้
นักวิจัยนาโนเทคศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ
ของเปลือกไข่มาตั้งแต่ปี 2551 ด้วยสเกลขนาดเล็กในห้องแล็บ
ด้วยการเก็บเปลือกไข่จากร้านขายอาหาร
กระทั่งปัจจุบันมีการขยายสเกลการวิจัยที่ใหญ่ขึ้นระดับที่ต้อง
ขอเปลือกไข่จากโรงฟักไก่ เพื่อดูศักยภาพ
ในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ที่คุ้มค่า
การศึกษาดังกล่าวพบว่าเปลือกไข่เมื่อนำมาผ่านความร้อนจะเปลี่ยน
โครงสร้าง
ตัวมันเองให้มีพื้นที่ผิวมีความเป็นด่าง สามารถที่จะนำไปประยุกต์
ใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในทางเลือก
ที่ศึกษาต่อ คือการนำไปใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการผลิตไบโอดีเซล
จากการศึกษาเปรียบเทียบ
ระหว่างตัวเร่งปฏิกิริยาจากเปลือกไข่กับตัวเร่งปฏิกิริยา
แบบของเหลวที่ใช้อยู่โดยทั่วไป เช่น โซดาไฟ
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ผลที่ได้พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยา
ของแข็งที่ได้จากเปลือกไข่ ทำให้กระบวนการผลิต
ไบโอดีเซลมีขั้นตอนการผลิตที่สั้นลง เดิมการผลิตไบโอดีเซลจะนำ
น้ำมันพืชมาหมักร่วมกับเมทานอลและ
ตัวเร่งปฏิกิริยาในถังผลิตไบโอดีเซล จากนั้นแยกเอากลีเซอรีนออก
พร้อมทำการระเหยเมทานอลกลับมาใช้ใหม่
ซึ่งไบโอดีเซลที่ได้จะยังไม่บริสุทธิ์เสียทีเดียวต้องผ่านกระบวนการ
ล้างน้ำและทำระเหยเอาน้ำออก
ทำให้เกิดน้ำเสียจากกระบวนการผลิต นักวิจัย กล่าวต่อว่า
การใช้เปลือกไข่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ทำให้ได้กลีเซอรีนและไบโอดีเซลที่มีความบริสุทธิ์สูงจนไม่ต้องผ่านกระบวน
การล้างน้ำ
และไม่มีน้ำเสียเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนการ
ผลิตไบโอดีเซลถูกลง
กว่าการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของเหลวในการผลิต
2.2.2งานวิจัยเกี่ยวกับเปลือกไข่
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University)
ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าเปลือกไข่อาจใช้เป็นวัตถุดิบช่วยผลิต
ก๊าซไฮโดรเจนเพื่อไปผสมกับก๊าซออกซิเจน
ที่ใช้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าของเซลล์เชื้อเพลิง(Fuel Cell)
ได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลงงานวิจัยระบุว่าเปลือกไข่มีบทบาทสำคัญ
ที่จะทำให้ไฮโดรเจนบริสุทธิ์สามารถแยกออกจากก๊าซคาร์บอนได
ออกไซด์โดยการเติมเปลือกไข่ลงไปในขั้นตอนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนแคลเซียมออกไซด์(Calcium oxide) ที่อยู่ในเปลือกไข่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ไว้ทำให้กระบวนการผลิตสะอาดขึ้นและเมื่อนำเปลือกไข่
ที่ใช้แล้วไปฝังดินก็จะเป็นการกำจัด
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นออกโดยไม่ปล่อยมันสู่
ชั้นบรรยากาศอีกด้วยงานวิจัยสรุป
ด้วยว่าปริมาณขยะเปลือกไข่ที่คนอเมริกันทิ้งไว้ทั่วประเทศมีมากถึง
455,000ตันนั้นมากพอ
ที่จะผลิตก๊าซไฮโดรเจนได้มากถึง 35 พันล้านลูกบาศก์ฟุตเมื่อ
เทียบเท่ากับก๊าซถ่านหิน
ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเชื่อว่าไฮโดรเจนอาจกลายเป็นแหล่ง
พลังงานที่สำคัญในอนาคต
แต่นักวิจัยจะต้องพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมในการผลิต
ไฮโดรเจนจำนวนมากต่อไป
2.1.3 ปูนปลาสเตอร์
ปูนปลาสเตอร์คือ ทำมาจากแร่ยิปซัม ซึ่งมีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมซัลเฟตไดไฮเดรตในโครงสร้าง
ผลึกจะมี 2 หน่วยต่อแคลเซียมซัลเฟต1 หน่วย เมื่อนำยิปซัมมาเผาแคลไซน์น้ำบางส่วนจะระเหยออกไป
กลายเป็นปูนปลาสเตอร์ซึ่งมีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมเฮมิไฮเดรตในโครงผลึกจะมีน้ำเพียง 1 หน่วย
ต่อแคลเซียมซัลเฟต2 หน่วย เป็นปฏิกิริยากับผันกลับได้เมื่อเราเติมน้ำให้กลับปูนปลาสเตอร์
ปูนปลาสเตอร์ ปูนปลาสเตอร์จะทำปฏิกิริยากับน้ำเกิดเป็นผลึกรูปเข็มของยิปซัมและกลายเป็นก้อนแข็งอีก
ครั้ง
2.1.3.1 กระบวนการทำปูนปลาสเตอร์
ไม่มีการระบุกระบวนการทำจากบริษัทผลิตปูนปลาสเตอร์
รูปที่2.4 ดินสอพอง
2.1.4 ดินสอพอง ดินสอพอง คือ หินปูนเนื้อมาร์คที่เป็นดินที่เนื้อ
เป็นสารประกอบ
แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเอามะนาวบีบใส่
น้ำมะนาวมีกรดซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับแคลเซียมเป็นฟองฟูขึ้นดูเผินๆ
ก็เห็นว่าดินนั้นพองตัวขึ้นจึงเรียกดินสอพอง ใช้ในการทำธูป
ทำปูนซีเมนต์
2.1.4.1 กระบวนการทำปูนปลาสเตอร์
ไม่มีการระบุกระบวนการทำจากบริษัทผลิตดินสอพอง
2.2 งานวิจัย
2.2.1 งานวิจัยเกี่ยวกับเปลือกไข่
KuhและKim ได้ศึกษาการดูดซับโลหะหนักแคดเมี่ยมด้วย
เปลือกไข่โดยศึกษาผลของความเข้มข้น
เริ่มต้นของสารละลาย (25-100 มิลลิกรัมต่อลิตร) ค่า pH
ของสารละลายเริ่มต้น (3-11) อุณหภูมิ (25-55 องศา
เซลเซียส) ขนาดอนุภาค (14-30, 35-60, 80-100 และ120-140 เมช)
และปริมาณของเปลือกไข่ (10-70กรัมต่อลิตร)
พบว่าการดูดซับแคดเมี่ยมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง30 นาทีแรกและ
เข้าสู่สภาวะสมดุลย์หลังจาก
เวลาผ่านไป 300 นาทีโดยผลจากการเพิ่มปริมาณเปลือกไข่ในสารละลาย
และการลดขนาดของเปลือกไข่
ทำให้พื้นที่ผิวของการดูดซับเพิ่มขึ้นประสิทธิภาพการดูดซับจึงสูงขึ้นตาม
ไปด้วยและที่ความเข้มข้นเริ่มต้น
ของสารละลายแคดเมี่ยมตํ่า(25 มิลลิกรัมต่อลิตร) เปลือกไข่มีประสิทธิภาพ
ในการลดแคดเมี่ยม (ร้อยละ 97)
ได้ดีกว่าที่ความเข้มข้นเริ่มต้นสูงขึ้นเนื่องจากสัดส่วนของ active sites
บนผิวเปลือกไข่ต่อปริมาณตัวถูกดูดซับ
ที่ความเข้มข้นเริ่มต้นตํ่ามีค่ามากกว่าที่ความเข้มข้นเริ่มต้นสูงและการดูดซับ
แคดเมี่ยมจะสูงขึ้นตาม
อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นซึ่งแสดงว่าการดูดซับเป็นปฏิกริยาดูดความร้อน
สามารถอธิบายการดูดซับ
ด้วยสมการของFruendlichสำหรับการศึกษาจลนพลศาสตร์พบว่า
การดูดซับเป็นปฏิกิริยา
อันดับที่1.1-1.6 จากความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงค่าความเข้มข้น
ของแคดเมี่ยมในสารละลาย(logCt)
กับอัตราการดูดซับ (log rate) นอกจากนี้สารละลายที่มีค่า pH
สูงบนผิวเปลือกไข่จะมีปริมาณโปรตอนลดลง
กลุ่มออกไซด์, ไฮดรอกไซด์และออกซี่ไฮดรอกไซด์บนผิวเปลือกไข่จึงจับตัว
กับโลหะหนักได้มากขึ้น
เกิดเป็น metal carbonate ที่ไม่ละลายนํ้าในรูป CdCO3 ,
Cd(CO3 )2(OH)2ดร.นาวิน วิริยะเอี่ยมพิกุล นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงาน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า จากความสนใจ ส่วนตัวในเรื่องการพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทุ่มเทกับการศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยา เพื่อการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย ทั้งตัวเร่งปฏิกิริยา สำหรับผลิตไบโอดีเซล ตัวเร่งปฏิกิริยาเชิงแสงสำหรับบำบัดสารพิษในน้ำ รวมถึงกระบวนการผลิตที่ใช้ในการ สังเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยา หนึ่งในวัสดุที่สนใจศึกษาเพื่อพัฒนา เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาคือ เปลือกไข่ ซึ่งมีความเป็นด่างสอดคล้องกับคุณสมบัติเบื้องต้นของตัวเร่งปฏิกิริยา และที่ผ่านมาอุตสาหกรรม โรงฟักไก่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดเปลือกไข่เหลือใช้ด้วยการฝังกลบ ตันละกว่า 800 บาท ทั้งที่ตัวเปลือกไข่เป็นแคลเซียมน่าจะนำมาประยุกต์ใช้อย่างอื่นได้ นักวิจัยนาโนเทคศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ ของเปลือกไข่มาตั้งแต่ปี 2551 ด้วยสเกลขนาดเล็กในห้องแล็บ ด้วยการเก็บเปลือกไข่จากร้านขายอาหาร กระทั่งปัจจุบันมีการขยายสเกลการวิจัยที่ใหญ่ขึ้นระดับที่ต้อง ขอเปลือกไข่จากโรงฟักไก่ เพื่อดูศักยภาพ ในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ที่คุ้มค่า การศึกษาดังกล่าวพบว่าเปลือกไข่เมื่อนำมาผ่านความร้อนจะเปลี่ยน โครงสร้าง ตัวมันเองให้มีพื้นที่ผิวมีความเป็นด่าง สามารถที่จะนำไปประยุกต์ ใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในทางเลือก ที่ศึกษาต่อ คือการนำไปใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการผลิตไบโอดีเซล จากการศึกษาเปรียบเทียบ ระหว่างตัวเร่งปฏิกิริยาจากเปลือกไข่กับตัวเร่งปฏิกิริยา แบบของเหลวที่ใช้อยู่โดยทั่วไป เช่น โซดาไฟ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ผลที่ได้พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยา ของแข็งที่ได้จากเปลือกไข่ ทำให้กระบวนการผลิต ไบโอดีเซลมีขั้นตอนการผลิตที่สั้นลง เดิมการผลิตไบโอดีเซลจะนำ น้ำมันพืชมาหมักร่วมกับเมทานอลและ ตัวเร่งปฏิกิริยาในถังผลิตไบโอดีเซล จากนั้นแยกเอากลีเซอรีนออก พร้อมทำการระเหยเมทานอลกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งไบโอดีเซลที่ได้จะยังไม่บริสุทธิ์เสียทีเดียวต้องผ่านกระบวนการ ล้างน้ำและทำระเหยเอาน้ำออก ทำให้เกิดน้ำเสียจากกระบวนการผลิต นักวิจัย กล่าวต่อว่า การใช้เปลือกไข่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ได้กลีเซอรีนและไบโอดีเซลที่มีความบริสุทธิ์สูงจนไม่ต้องผ่านกระบวน การล้างน้ำ และไม่มีน้ำเสียเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนการ ผลิตไบโอดีเซลถูกลง กว่าการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของเหลวในการผลิต 2.2.2งานวิจัยเกี่ยวกับเปลือกไข่
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University)
ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าเปลือกไข่อาจใช้เป็นวัตถุดิบช่วยผลิต
ก๊าซไฮโดรเจนเพื่อไปผสมกับก๊าซออกซิเจน
ที่ใช้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าของเซลล์เชื้อเพลิง(Fuel Cell)
ได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลงงานวิจัยระบุว่าเปลือกไข่มีบทบาทสำคัญ
ที่จะทำให้ไฮโดรเจนบริสุทธิ์สามารถแยกออกจากก๊าซคาร์บอนได
ออกไซด์โดยการเติมเปลือกไข่ลงไปในขั้นตอนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนแคลเซียมออกไซด์(Calcium oxide) ที่อยู่ในเปลือกไข่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ไว้ทำให้กระบวนการผลิตสะอาดขึ้นและเมื่อนำเปลือกไข่
ที่ใช้แล้วไปฝังดินก็จะเป็นการกำจัด
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นออกโดยไม่ปล่อยมันสู่
ชั้นบรรยากาศอีกด้วยงานวิจัยสรุป
ด้วยว่าปริมาณขยะเปลือกไข่ที่คนอเมริกันทิ้งไว้ทั่วประเทศมีมากถึง
455,000ตันนั้นมากพอ
ที่จะผลิตก๊าซไฮโดรเจนได้มากถึง 35 พันล้านลูกบาศก์ฟุตเมื่อ
เทียบเท่ากับก๊าซถ่านหิน
ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเชื่อว่าไฮโดรเจนอาจกลายเป็นแหล่ง
พลังงานที่สำคัญในอนาคต
แต่นักวิจัยจะต้องพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมในการผลิต
ไฮโดรเจนจำนวนมากต่อไป
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น